บทที่ 4 คันจิ (Kanji)
ประวัติอักษรคันจิ
คำว่า "คันจิ" แปลว่า "อักษรของชาวฮั่น (ซึ่งก็คือชาวจีนนั่นเอง)" เป็นตัวอักษรที่ญี่ปุ่นยืมมาจากจีน (ยืมแล้วไม่คืน คือยืมตลอกกาล) ที่ว่ายืมนั้น เป็นการยืมมาทั้ง 1 รูปแบบตัวอักษร, 2 ความหมาย และ 3 เสียงอ่าน
มีหลักฐานว่าชาวจีนประดิษฐ์อักษรคันจิขึ้นครั้งแรกในบริเวณ อารยะธรรมลุ่มน้ำหวงโหว หรือลำน้ำเหลือง (Yellow river) ประมาณ 2,000 ปีก่อน คริสตกาล หรือ กว่า 4,000 ปีมาแล้ว ในยุคนี้มีการพบอักษรคันจิ กว่า 3,000 ตัว แกะสลักบนกระดองเต่า หรือกระดูกสัตว์ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการทำนายทายทักโชคชะตา
ในระยะแรกของการประดิษฐ์อักษร มักเป็นรูปแบบ ที่ใช้เป็นรูปภาพ ,เครื่องหมาย อย่างง่ายๆ เรียกว่า Simple Pictographs 象形文字 (โชเคโมจิ) ต่อมาก็ได้เพิ่มความซับซ้อน และมีลักษณะที่เป็นนามธรรม มากขึ้นเป็นลำดับ
จากอักษรรูปภาพอย่างง่าย มีการพัฒนานำเอกอักษรภาพอย่างง่าย หลายตัวมาประกอบกันขึ้นเป็นอักษรใหม่ เรียกว่า อักษรสัญญลักษณ์ (Symbolic Character 指示文字 ชิจิโมจิ) หรือ อักษรแสดงความหมาย (Ideographs 会意文字 ไคอิโมจิ )
อักษรคันจิได้ถูกนำมาใช้ใน ประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ประมาณ คริสตศตวรรษที่ 3 หรือประมาณ สมัยราชวงศ์ฮั่นของจีน นั่นเป็นเหตุให้อักษรคันจิมีความหมายว่า "อักษรของชาวฮั่น" (ถึงแม้ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว อักษรคันจิถูกประดิษฐ์ขึ้นก่อนยุคราชวงศ์ฮั่นก็ตาม) ในยุคนั้น ญี่ปุ่นยังไม่ปรากฎภาษาเขียน มีแต่เพียงภาษาพูดเท่านั้น การนำอักษรคันจิมาใช้จึงทำให้ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาภาษาเขียนขึ้นได้ นอกจากนั้นยังทำให้ภาษาญี่ปุ่นมีความหลากหลายมากขึ้น เปรียบเทียบได้กับที่ ภาษาอังกฤษยืมภาษาลาตินมาใช้ หรือ ภาษาไทย ยืมภาษาสันกฤตมาใช้นั่นเอง
จำนวนอักษรคันจิ
เมื่อปี 1972 สมาคมมาตรฐานอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น (Japan Industrial Standard) ได้ประมวลอักษรคันจิที่ควรรู้ไว้กว่า 6,000 ตัว ซึ่งถือเป็นความรู้ระดับสูง ส่วนคันจิที่ใช้ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆนั้น นับได้ประมาณ 3,000 ตัว
ในปี 1982 กระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่น ได้ กำหนด ชุดของอักษรคันจิที่เรียกว่า อักษรคันจิที่ใช้ประจำ (Permanent Use Kanji 常用漢字 "โจโยคันจิ") ไว้มีจำนวน 1,954 ตัว โดยแบ่งเป็น คันจิในระดับประถม 996 ตัว ตาม ความยากง่ายดังนี้ ประถม1=76 ตัว ประถม2=145 ตัวประถม 3=195 ตัว ประถม4=195 ตัว ประถม5=195 ตัว และ ประถม6=190 ตัว ส่วนที่เหลืออีก 949 ตัว เป็นระดับมัธยม
เราจะพบ "โจโยคันจิ" 1,954 ตัว นี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เนื่องจากเป็นอักษรคันจิที่ใช้บ่อย กล่าวกันว่า หากรู้จักมากถึง 1,000 ตัวแรก ก็จะครอบคลุมคันจิที่ใช้ในหนังสือพิมพ์ได้ถึง 90% ทีเดียว
ประเภทของอักษรคันจิ
เมื่อเริ่มแรกที่มีการผลิตพจนานุกรม ภาษาจีนขึ้นเมื่อ คริสตศตวรรษที่ 2 อักษรคันจิแบ่งออกได้เป็น 6 แบบ คือ
1. อักษรรูปภาพ (Pictograph 象形文字 โชเคโมจิ) เป็นอักษรที่แสดง สถาพทางกายภาพของวัตถุอย่าง ง่ายๆ เช่น อักษร ต้นไม้ 木
,แม่น้ำ 川 ,ภูเขา 山 , ปาก 口
2. อักษรแสดงสัญญลักษณ์ (Symbolic 指示文字 ชิจิโมจิ) เป็นอักษรที่ใช้แทนการบรรยาย สภาพสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างง่าย เช่น อักษร
ขี้น 上 , ลง 下 ,การหมุน 回
3. อักษรความหมาย (Ideographs 会意文字 ไคอิโมจิ )เป็นอักษรที่ใช้ในการแทนความหมาย มักเกิดขึ้นจากการนำเอาอักษรภาพสองตัวขึ้นไปมาผสมกัน แล้วเกิดเป็นอักษรใหม่ เช่น
ต้นไม้ 木+ต้นไม้木 =林 ป่าโปร่ง
ดวงอาทิตย์日+ ดวงจันทร์月 = 明 สว่าง
คน イ+ ต้นไม้木 = 休 การพักผ่อน
ภูเขา山 + ขึ้น上 +ลง下 =峠 ช่องเขา
4.อักษรกึ่งพ้องเสียง-กึ่งความหมาย (Phonetic-Ideograph or Semasio-Phonetic 形声文字 เคเซโมจิ) เป็นอักษรที่ประกอบด้วยสองส่วน คือ ส่วนที่สื่อความหมาย ส่วนหนึ่ง และ ส่วนที่แสดงเสียง อีกส่วนหนึ่ง ประกอบกันขึ้นเป็นอักษรใหม่ เป็นอักษรประเภทที่มีจำนวนมากที่สุด กว่า 85% ของอักษรคันจิ จัดเป็นอักษรประเภทนี้ ซึ่งยุ่งยาก น่าปวดหัวมากที่สุด
ตัวอย่างเช่น
· อักษร การริน 注 (อ่านว่า "จู") เกิดจากการผสม ระหว่าง ส่วนที่สื่อความหมาย น้ำหรือของเหลว 氵 กับ ส่วนที่พ้องเสียง 主 (อ่านว่า "จู" เหมือนกัน)
จะเห็นได้ว่า ส่วนแรกคือน้ำ 氵 ใช้สื่อความหมาย ของสิ่งที่เป็นของเหลว เพราะคำว่าริน เราใช้กับของเหลวเท่านั้น ส่วนที่สอง คือ 主 "จู" เป็นส่วนที่ใช้แทนเสียง
· อักษร ยุง 蚊 (อ่านว่า "บุง") เกิดจากการผสมระหว่าง ส่วนที่สื่อความหมาย แมลง 虫 กับ ส่วนที่พ้องเสียง 文 (อ่านว่า "บุง" เหมือนกัน)
จะเห็นได้ว่า ส่วนแรกคือแมลง 虫 ใช้สื่อความหมาย ของคำว่ายุง เพราะว่ายุงจัดเป็นแมลงประเภทหนึ่ง ส่วนที่สอง คือ 文 "บุง" เป็นส่วนที่ใช้แทนเสียง
5.อักษรที่ยืมความหมายมาใช้ (Characters of borrowed meaning and pronunciation 転注文字 เทนจูโมจิ) เป็นอักษรที่ความหมาย หรือการออกเสียง ถูกยืมมาใช้ เช่น อักษร การถือครอง 占 ในความหมายเดิมหมายถึงการทำนายทายทัก
6.อักษรยืมเสียง (Phonetically borrowed characters 仮借文字 คะชาคึโมจิ) เป็นอักษร ที่เสียงถูกยืมมาใช้เพื่อประกอบเป็นความหมายใหม่ โดยไม่เกี่ยวข้องกับความหมายดั้งเดิมแต่อย่างใด เช่น อเมริกา 亜米利加 ( อะ เมะ ริ คะ A-me-ri-ka)
ปัญหาในการอ่านอักษรคันจิ
ดังได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นว่า คำว่า "คันจิ" แปลว่า "อักษรของชาวฮั่น (ซึ่งก็คือชาวจีนนั่นเอง)" เป็นตัวอักษรที่ญี่ปุ่นยืมมาจากจีน ที่ว่ายืมนั้น เป็นการยืมมาทั้ง 1 รูปแบบตัวอักษร, 2 ความหมาย และ 3เสียงอ่าน
· ในส่วนของ 1 และ 2 คือการยืม รูปแบบตัวอักษร และความหมาย มาใช้นั้น ยังคงเหมือนภาษาดังเดิม คือ ภาษาจีน ดังนั้น ถ้าเรานำตัวอักษรคันจิให้คนจีน หรือ คนไต้หวันดู เขาจะรู้ความหมายเข้าใจตรงกับ คนญี่ปุ่น ได้โดยไม่ยาก
· ที่พิสดารน่าปวดหัวคือข้อที่ 3 เสียงอ่าน... ส่วนของเสียงอ่านที่ญี่ปุ่นยืมมานั้น เป็นเสียงอ่านแบบ ภาษาจีนกลาง หรือก็คือ ภาษาแมนดาริน ซึ่งถ้ายืมมาใช้ตรงๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร.. แต่ที่ทำให้ปวดหัวมีอยู่สองถึงสามประเด็นคือ
o ญี่ปุ่นออกเสียงภาษาจีนกลาง ที่ยืมมานั้น ตรงๆ ไม่ได้...จึงได้ทำการดัดแปลงเสียงอ่านภาษาจีนกลางนั้นให้เข้ากันได้กับลิ้นของตนเอง ในทางภาษาศาสตร์ เรียกเสียงอ่านแบบนี่ว่า "เสียงอ่านแบบจีน (On-yomi 音読み)" ซึ่งถ้าพูดอย่างเคร่งครัดก็ต้องเรียกว่า "เสียงอ่านแบบจีน-สำเนียงเป็นญี่ปุ่น" ซึ่งพจนานุกรมจะแสดงด้วยอักษรคาตาคานะ อาจกล่าวได้ว่า อักษรคันจิทั้งหมดเข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับเสียงอ่านตามภาษาจีนกลาง ที่ผิดเพื้ยนไปจาก เสียงอ่านเดิม เนื่องจากถูกปรับให้เข้ากับระบบเสียงภาษาญี่ปุ่น
o อักษรคันจิหลาย ๆตัวมี "เสียงอ่านแบบจีน (On-yomi 音読み)" มากกว่า 1 เสียง คือเขียนเหมือนกันแต่อ่านได้ 2 หรือ 3 อย่าง ทั้งนี้เป็นเพราะเสียงอ่านแต่ละเสียง เข้ามาในญี่ปุ่นต่างยุคสมัย ต่างวิธีการ และมาจากต่างภูมิภาคของจีน นอกจากนี้ บางคำยังแตกความหมายออกไป ทำให้เกิดเสียงใหม่ด้วย
o ญี่ปุ่นมีการออกเสียงดั้งเดิมของตนเองอยู่ก่อนแล้ว... ก่อนที่จะยืมเสียงอ่านของจีนมาดัดแปลงใช้ ซึ่งเสียงดั้งเดิมนั้นทิ้งไปก็ไม่ได้ เสียงใหม่ก็รับเข้ามา จึงเกิดมีความซับซ้อนขึ้นมา เสียงอ่านแบบดั้งเดิมนั้นในทางภาษาศาสตร์ เรียกว่า "เสียงอ่านแบบญี่ปุ่น (Kun yomi 訓読み) ซึ่งพจนานุกรมจะแสดงด้วยอักษรฮิราคานะ
เคล็ดลับการอ่านอักษรคันจิ
จาการสำรวจพบว่า ส่วนที่พ้องเสียงของ อักษรคันจิ ประเภท ที่ 4 คือ อักษรกึ่งพ้องเสียง-กึ่งความหมาย (Phonetic-Ideograph or Semasio-Phonetic 形声文字 เคเซโมจิ) นั้น แบ่งได้ 3 ประเภทคือ
a) อักษรคันจิ ที่มี ส่วนที่พ้องเสียง เหมือนกัน และมีเสียงอ่าน แบบ 音読み องโยมิ เหมือนกัน เช่น
時、持、寺 อ่านว่า "จิ" เหมือนกันหมด อักษรประเภทนี้ มีอยู่ประมาณ 58%
b) อักษรคันจิ ที่มี ส่วนที่พ้องเสียง เหมือนกัน แต่มีเสียงอ่าน แบบ 音読み องโยมิ คล้ายกัน เช่น
อักษร 古 อ่านว่า "โคะ" ส่วนอักษร 苦 อ่านว่า "คึ" อักษรประเภทนี้ มีอยู่ประมาณ 33%
c) อักษรคันจิ ที่มี ส่วนที่พ้องเสียง เหมือนกับ จะมีเสียงอ่าน แบบ 音読み องโยมิ ต่างกัน เช่น
อักษร 十 อ่านว่า "จู" แต่ อักษร 針 อ่านว่า "ชิน" อักษรประเภทนี้ มีอยู่ประมาณ 9%
โครงสร้างของอักษรคันจิ
ถึงแม้ว่าอักษรคันจิ จะมีบางประเภท ที่เข้าใจง่าย เช่น อักษรรูปภาพ หรือ อักษรสัญญลักษณ์ ดังได้กล่าวข้างต้น แต่อักษร เหล่านี้จัดเป็นพวกชนกลุ่มน้อย ซึ่งมีอยู่ไม่ถึง หนึ่งร้อยตัว ดังนั้น ถ้ามีผู้เรียนภาษาญี่ปุ่น มาบอกท่านว่า อักษรคันจินั้นง่ายมาก ๆ ก็ขอให้รู้ไว้ว่า จริงเป็นบางส่วนเท่านั้น
(อักษรที่ว่าง่ายนั้นจริงๆแล้ว คืออักษร คันจิ ประถมหนึ่ง ซึ่งมีอยู่เพียง 76 ตัวเท่านั้น)
อักษรคันจิที่เหลือ กว่า 95% จะประกอบด้วยสองส่วนขึ้นไป หนึ่งในสองส่วนนี้ มีส่วนที่เป็นองค์ประกอบหลัก หรือ รากของคันจิ เรียกว่า "บุชุ ー部首 bushu"
"บุชุ" หมายถึงส่วนของคันจิ ที่เป็นตัวบ่งชี้ความหมายคร่าว ๆของอักษรนั้น ๆ ซึ่งอาจปรากฎอยู่ ข้างซ้าย ข้างขวา บนหรือ ล่าง ของตัวอักษรก็ได้ทั้งสิ้น อักษรคันจิบางตัว เป็น "ราก" หรือ "บุชุ" ด้วยตัวของมันเอง มีการแบ่งกลุ่ม "บุชุ" ของคันจิ มากว่า 3 ศตวรรษแล้ว
การวางตำแหน่งของ "บุชุ" โดยทั่วไป แบ่งได้เป็น 10 แบบ คือ
1.ทางซ้าย (เรียกว่า เฮน หรือ เบน)
เช่น ตัว イ อยู่ทางซ้ายของ 伊、位、依
2. ทางขวา (เรียกว่า ทสึคุริ หรือ ทซึคุริ)
เช่น ตัว リ อยู่ทางขวาของ 利、 莉、 割
3. ข้างบน (เรียกว่า คัมมุริ)
เช่น ตัว 宀 อยู่บน 家、寡、字
4. ข้างใต้ (เรียกว่า อาชิ หรือ ชิตะ)
เช่น ตัว 貝 อยู่ใต้ 買、貿、資
5. แขวนอยู่ทางซ้าย (เรียกว่า ทาเระ หรือ ดาเระ)
เช่นตัว 广 แขวนอยู่ทางซ้ายของ 店、庄、床
6.ครอบคว่ำ (เรียกว่า คามาเอะ หรือ งามาเอะ)
เช่น ตัว 冂 ครอบอยู่บนตัว 円、同、
7.สอดอยู่ทางซ้าย (เรียกว่า เงียว)
เช่น ตัว 之 สอดอยู่ทางซ้ายของ 進、遠、
8.ครอบทางซ้าย (เรียกว่า คามาเอะ หรือ งามาเอะ)
เช่นตัว 匚 ครอบทางซ้ายของ 区、医
9.ประกบสองข้าง (เรียกว่า คามาเอะ หรือ งามาเอะ)
เช่นตัว 行 ประกบสองข้าง ของ 術、衛
10.ล้อมรอบ (เรียกว่า คามาเอะ หรือ งามาเอะ)
เช่นตัว 口 ล้อมรอบ 回、因
คันจิ(Kanji)
แหล่งที่มา : http://www.kanjithai.com/#5
คำว่า "คันจิ" แปลว่า "อักษรของชาวฮั่น (ซึ่งก็คือชาวจีนนั่นเอง)" เป็นตัวอักษรที่ญี่ปุ่นยืมมาจากจีน (ยืมแล้วไม่คืน คือยืมตลอกกาล) ที่ว่ายืมนั้น เป็นการยืมมาทั้ง 1 รูปแบบตัวอักษร, 2 ความหมาย และ 3 เสียงอ่าน
มีหลักฐานว่าชาวจีนประดิษฐ์อักษรคันจิขึ้นครั้งแรกในบริเวณ อารยะธรรมลุ่มน้ำหวงโหว หรือลำน้ำเหลือง (Yellow river) ประมาณ 2,000 ปีก่อน คริสตกาล หรือ กว่า 4,000 ปีมาแล้ว ในยุคนี้มีการพบอักษรคันจิ กว่า 3,000 ตัว แกะสลักบนกระดองเต่า หรือกระดูกสัตว์ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการทำนายทายทักโชคชะตา
ในระยะแรกของการประดิษฐ์อักษร มักเป็นรูปแบบ ที่ใช้เป็นรูปภาพ ,เครื่องหมาย อย่างง่ายๆ เรียกว่า Simple Pictographs 象形文字 (โชเคโมจิ) ต่อมาก็ได้เพิ่มความซับซ้อน และมีลักษณะที่เป็นนามธรรม มากขึ้นเป็นลำดับ
จากอักษรรูปภาพอย่างง่าย มีการพัฒนานำเอกอักษรภาพอย่างง่าย หลายตัวมาประกอบกันขึ้นเป็นอักษรใหม่ เรียกว่า อักษรสัญญลักษณ์ (Symbolic Character 指示文字 ชิจิโมจิ) หรือ อักษรแสดงความหมาย (Ideographs 会意文字 ไคอิโมจิ )
อักษรคันจิได้ถูกนำมาใช้ใน ประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ประมาณ คริสตศตวรรษที่ 3 หรือประมาณ สมัยราชวงศ์ฮั่นของจีน นั่นเป็นเหตุให้อักษรคันจิมีความหมายว่า "อักษรของชาวฮั่น" (ถึงแม้ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว อักษรคันจิถูกประดิษฐ์ขึ้นก่อนยุคราชวงศ์ฮั่นก็ตาม) ในยุคนั้น ญี่ปุ่นยังไม่ปรากฎภาษาเขียน มีแต่เพียงภาษาพูดเท่านั้น การนำอักษรคันจิมาใช้จึงทำให้ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาภาษาเขียนขึ้นได้ นอกจากนั้นยังทำให้ภาษาญี่ปุ่นมีความหลากหลายมากขึ้น เปรียบเทียบได้กับที่ ภาษาอังกฤษยืมภาษาลาตินมาใช้ หรือ ภาษาไทย ยืมภาษาสันกฤตมาใช้นั่นเอง
จำนวนอักษรคันจิ
เมื่อปี 1972 สมาคมมาตรฐานอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น (Japan Industrial Standard) ได้ประมวลอักษรคันจิที่ควรรู้ไว้กว่า 6,000 ตัว ซึ่งถือเป็นความรู้ระดับสูง ส่วนคันจิที่ใช้ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆนั้น นับได้ประมาณ 3,000 ตัว
ในปี 1982 กระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่น ได้ กำหนด ชุดของอักษรคันจิที่เรียกว่า อักษรคันจิที่ใช้ประจำ (Permanent Use Kanji 常用漢字 "โจโยคันจิ") ไว้มีจำนวน 1,954 ตัว โดยแบ่งเป็น คันจิในระดับประถม 996 ตัว ตาม ความยากง่ายดังนี้ ประถม1=76 ตัว ประถม2=145 ตัวประถม 3=195 ตัว ประถม4=195 ตัว ประถม5=195 ตัว และ ประถม6=190 ตัว ส่วนที่เหลืออีก 949 ตัว เป็นระดับมัธยม
เราจะพบ "โจโยคันจิ" 1,954 ตัว นี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เนื่องจากเป็นอักษรคันจิที่ใช้บ่อย กล่าวกันว่า หากรู้จักมากถึง 1,000 ตัวแรก ก็จะครอบคลุมคันจิที่ใช้ในหนังสือพิมพ์ได้ถึง 90% ทีเดียว
ประเภทของอักษรคันจิ
เมื่อเริ่มแรกที่มีการผลิตพจนานุกรม ภาษาจีนขึ้นเมื่อ คริสตศตวรรษที่ 2 อักษรคันจิแบ่งออกได้เป็น 6 แบบ คือ
1. อักษรรูปภาพ (Pictograph 象形文字 โชเคโมจิ) เป็นอักษรที่แสดง สถาพทางกายภาพของวัตถุอย่าง ง่ายๆ เช่น อักษร ต้นไม้ 木
,แม่น้ำ 川 ,ภูเขา 山 , ปาก 口
2. อักษรแสดงสัญญลักษณ์ (Symbolic 指示文字 ชิจิโมจิ) เป็นอักษรที่ใช้แทนการบรรยาย สภาพสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างง่าย เช่น อักษร
ขี้น 上 , ลง 下 ,การหมุน 回
3. อักษรความหมาย (Ideographs 会意文字 ไคอิโมจิ )เป็นอักษรที่ใช้ในการแทนความหมาย มักเกิดขึ้นจากการนำเอาอักษรภาพสองตัวขึ้นไปมาผสมกัน แล้วเกิดเป็นอักษรใหม่ เช่น
ต้นไม้ 木+ต้นไม้木 =林 ป่าโปร่ง
ดวงอาทิตย์日+ ดวงจันทร์月 = 明 สว่าง
คน イ+ ต้นไม้木 = 休 การพักผ่อน
ภูเขา山 + ขึ้น上 +ลง下 =峠 ช่องเขา
4.อักษรกึ่งพ้องเสียง-กึ่งความหมาย (Phonetic-Ideograph or Semasio-Phonetic 形声文字 เคเซโมจิ) เป็นอักษรที่ประกอบด้วยสองส่วน คือ ส่วนที่สื่อความหมาย ส่วนหนึ่ง และ ส่วนที่แสดงเสียง อีกส่วนหนึ่ง ประกอบกันขึ้นเป็นอักษรใหม่ เป็นอักษรประเภทที่มีจำนวนมากที่สุด กว่า 85% ของอักษรคันจิ จัดเป็นอักษรประเภทนี้ ซึ่งยุ่งยาก น่าปวดหัวมากที่สุด
ตัวอย่างเช่น
· อักษร การริน 注 (อ่านว่า "จู") เกิดจากการผสม ระหว่าง ส่วนที่สื่อความหมาย น้ำหรือของเหลว 氵 กับ ส่วนที่พ้องเสียง 主 (อ่านว่า "จู" เหมือนกัน)
จะเห็นได้ว่า ส่วนแรกคือน้ำ 氵 ใช้สื่อความหมาย ของสิ่งที่เป็นของเหลว เพราะคำว่าริน เราใช้กับของเหลวเท่านั้น ส่วนที่สอง คือ 主 "จู" เป็นส่วนที่ใช้แทนเสียง
· อักษร ยุง 蚊 (อ่านว่า "บุง") เกิดจากการผสมระหว่าง ส่วนที่สื่อความหมาย แมลง 虫 กับ ส่วนที่พ้องเสียง 文 (อ่านว่า "บุง" เหมือนกัน)
จะเห็นได้ว่า ส่วนแรกคือแมลง 虫 ใช้สื่อความหมาย ของคำว่ายุง เพราะว่ายุงจัดเป็นแมลงประเภทหนึ่ง ส่วนที่สอง คือ 文 "บุง" เป็นส่วนที่ใช้แทนเสียง
5.อักษรที่ยืมความหมายมาใช้ (Characters of borrowed meaning and pronunciation 転注文字 เทนจูโมจิ) เป็นอักษรที่ความหมาย หรือการออกเสียง ถูกยืมมาใช้ เช่น อักษร การถือครอง 占 ในความหมายเดิมหมายถึงการทำนายทายทัก
6.อักษรยืมเสียง (Phonetically borrowed characters 仮借文字 คะชาคึโมจิ) เป็นอักษร ที่เสียงถูกยืมมาใช้เพื่อประกอบเป็นความหมายใหม่ โดยไม่เกี่ยวข้องกับความหมายดั้งเดิมแต่อย่างใด เช่น อเมริกา 亜米利加 ( อะ เมะ ริ คะ A-me-ri-ka)
ปัญหาในการอ่านอักษรคันจิ
ดังได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นว่า คำว่า "คันจิ" แปลว่า "อักษรของชาวฮั่น (ซึ่งก็คือชาวจีนนั่นเอง)" เป็นตัวอักษรที่ญี่ปุ่นยืมมาจากจีน ที่ว่ายืมนั้น เป็นการยืมมาทั้ง 1 รูปแบบตัวอักษร, 2 ความหมาย และ 3เสียงอ่าน
· ในส่วนของ 1 และ 2 คือการยืม รูปแบบตัวอักษร และความหมาย มาใช้นั้น ยังคงเหมือนภาษาดังเดิม คือ ภาษาจีน ดังนั้น ถ้าเรานำตัวอักษรคันจิให้คนจีน หรือ คนไต้หวันดู เขาจะรู้ความหมายเข้าใจตรงกับ คนญี่ปุ่น ได้โดยไม่ยาก
· ที่พิสดารน่าปวดหัวคือข้อที่ 3 เสียงอ่าน... ส่วนของเสียงอ่านที่ญี่ปุ่นยืมมานั้น เป็นเสียงอ่านแบบ ภาษาจีนกลาง หรือก็คือ ภาษาแมนดาริน ซึ่งถ้ายืมมาใช้ตรงๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร.. แต่ที่ทำให้ปวดหัวมีอยู่สองถึงสามประเด็นคือ
o ญี่ปุ่นออกเสียงภาษาจีนกลาง ที่ยืมมานั้น ตรงๆ ไม่ได้...จึงได้ทำการดัดแปลงเสียงอ่านภาษาจีนกลางนั้นให้เข้ากันได้กับลิ้นของตนเอง ในทางภาษาศาสตร์ เรียกเสียงอ่านแบบนี่ว่า "เสียงอ่านแบบจีน (On-yomi 音読み)" ซึ่งถ้าพูดอย่างเคร่งครัดก็ต้องเรียกว่า "เสียงอ่านแบบจีน-สำเนียงเป็นญี่ปุ่น" ซึ่งพจนานุกรมจะแสดงด้วยอักษรคาตาคานะ อาจกล่าวได้ว่า อักษรคันจิทั้งหมดเข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับเสียงอ่านตามภาษาจีนกลาง ที่ผิดเพื้ยนไปจาก เสียงอ่านเดิม เนื่องจากถูกปรับให้เข้ากับระบบเสียงภาษาญี่ปุ่น
o อักษรคันจิหลาย ๆตัวมี "เสียงอ่านแบบจีน (On-yomi 音読み)" มากกว่า 1 เสียง คือเขียนเหมือนกันแต่อ่านได้ 2 หรือ 3 อย่าง ทั้งนี้เป็นเพราะเสียงอ่านแต่ละเสียง เข้ามาในญี่ปุ่นต่างยุคสมัย ต่างวิธีการ และมาจากต่างภูมิภาคของจีน นอกจากนี้ บางคำยังแตกความหมายออกไป ทำให้เกิดเสียงใหม่ด้วย
o ญี่ปุ่นมีการออกเสียงดั้งเดิมของตนเองอยู่ก่อนแล้ว... ก่อนที่จะยืมเสียงอ่านของจีนมาดัดแปลงใช้ ซึ่งเสียงดั้งเดิมนั้นทิ้งไปก็ไม่ได้ เสียงใหม่ก็รับเข้ามา จึงเกิดมีความซับซ้อนขึ้นมา เสียงอ่านแบบดั้งเดิมนั้นในทางภาษาศาสตร์ เรียกว่า "เสียงอ่านแบบญี่ปุ่น (Kun yomi 訓読み) ซึ่งพจนานุกรมจะแสดงด้วยอักษรฮิราคานะ
เคล็ดลับการอ่านอักษรคันจิ
จาการสำรวจพบว่า ส่วนที่พ้องเสียงของ อักษรคันจิ ประเภท ที่ 4 คือ อักษรกึ่งพ้องเสียง-กึ่งความหมาย (Phonetic-Ideograph or Semasio-Phonetic 形声文字 เคเซโมจิ) นั้น แบ่งได้ 3 ประเภทคือ
a) อักษรคันจิ ที่มี ส่วนที่พ้องเสียง เหมือนกัน และมีเสียงอ่าน แบบ 音読み องโยมิ เหมือนกัน เช่น
時、持、寺 อ่านว่า "จิ" เหมือนกันหมด อักษรประเภทนี้ มีอยู่ประมาณ 58%
b) อักษรคันจิ ที่มี ส่วนที่พ้องเสียง เหมือนกัน แต่มีเสียงอ่าน แบบ 音読み องโยมิ คล้ายกัน เช่น
อักษร 古 อ่านว่า "โคะ" ส่วนอักษร 苦 อ่านว่า "คึ" อักษรประเภทนี้ มีอยู่ประมาณ 33%
c) อักษรคันจิ ที่มี ส่วนที่พ้องเสียง เหมือนกับ จะมีเสียงอ่าน แบบ 音読み องโยมิ ต่างกัน เช่น
อักษร 十 อ่านว่า "จู" แต่ อักษร 針 อ่านว่า "ชิน" อักษรประเภทนี้ มีอยู่ประมาณ 9%
โครงสร้างของอักษรคันจิ
ถึงแม้ว่าอักษรคันจิ จะมีบางประเภท ที่เข้าใจง่าย เช่น อักษรรูปภาพ หรือ อักษรสัญญลักษณ์ ดังได้กล่าวข้างต้น แต่อักษร เหล่านี้จัดเป็นพวกชนกลุ่มน้อย ซึ่งมีอยู่ไม่ถึง หนึ่งร้อยตัว ดังนั้น ถ้ามีผู้เรียนภาษาญี่ปุ่น มาบอกท่านว่า อักษรคันจินั้นง่ายมาก ๆ ก็ขอให้รู้ไว้ว่า จริงเป็นบางส่วนเท่านั้น
(อักษรที่ว่าง่ายนั้นจริงๆแล้ว คืออักษร คันจิ ประถมหนึ่ง ซึ่งมีอยู่เพียง 76 ตัวเท่านั้น)
อักษรคันจิที่เหลือ กว่า 95% จะประกอบด้วยสองส่วนขึ้นไป หนึ่งในสองส่วนนี้ มีส่วนที่เป็นองค์ประกอบหลัก หรือ รากของคันจิ เรียกว่า "บุชุ ー部首 bushu"
"บุชุ" หมายถึงส่วนของคันจิ ที่เป็นตัวบ่งชี้ความหมายคร่าว ๆของอักษรนั้น ๆ ซึ่งอาจปรากฎอยู่ ข้างซ้าย ข้างขวา บนหรือ ล่าง ของตัวอักษรก็ได้ทั้งสิ้น อักษรคันจิบางตัว เป็น "ราก" หรือ "บุชุ" ด้วยตัวของมันเอง มีการแบ่งกลุ่ม "บุชุ" ของคันจิ มากว่า 3 ศตวรรษแล้ว
การวางตำแหน่งของ "บุชุ" โดยทั่วไป แบ่งได้เป็น 10 แบบ คือ
1.ทางซ้าย (เรียกว่า เฮน หรือ เบน)
เช่น ตัว イ อยู่ทางซ้ายของ 伊、位、依
2. ทางขวา (เรียกว่า ทสึคุริ หรือ ทซึคุริ)
เช่น ตัว リ อยู่ทางขวาของ 利、 莉、 割
3. ข้างบน (เรียกว่า คัมมุริ)
เช่น ตัว 宀 อยู่บน 家、寡、字
4. ข้างใต้ (เรียกว่า อาชิ หรือ ชิตะ)
เช่น ตัว 貝 อยู่ใต้ 買、貿、資
5. แขวนอยู่ทางซ้าย (เรียกว่า ทาเระ หรือ ดาเระ)
เช่นตัว 广 แขวนอยู่ทางซ้ายของ 店、庄、床
6.ครอบคว่ำ (เรียกว่า คามาเอะ หรือ งามาเอะ)
เช่น ตัว 冂 ครอบอยู่บนตัว 円、同、
7.สอดอยู่ทางซ้าย (เรียกว่า เงียว)
เช่น ตัว 之 สอดอยู่ทางซ้ายของ 進、遠、
8.ครอบทางซ้าย (เรียกว่า คามาเอะ หรือ งามาเอะ)
เช่นตัว 匚 ครอบทางซ้ายของ 区、医
9.ประกบสองข้าง (เรียกว่า คามาเอะ หรือ งามาเอะ)
เช่นตัว 行 ประกบสองข้าง ของ 術、衛
10.ล้อมรอบ (เรียกว่า คามาเอะ หรือ งามาเอะ)
เช่นตัว 口 ล้อมรอบ 回、因
คันจิ(Kanji)
แหล่งที่มา : http://www.kanjithai.com/#5